วันจันทร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2553

มหาวิหารอาบูซิมเบล ประเทศอียิปต์

ที่ตั้ง


วิหารอาบูซิมเบล : Abu Simbel วิหารที่สวยงามที่สุดของอียิปต์โบราณ


• สถานที่ตั้ง : เมืองอัสวาน (ภาคใต้ของอียิปต์)


• ผู้ที่สร้าง : ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramses II )


• ปีที่สร้าง : ประมาณ 3,270 ปีมาแล้ว





การก่อสร้าง


การก่อสร้างของมหาวิหารทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นประมาณปี 1244 ก่อนคริศตกาล และเสร็จสมบูรณ์ในอีก 20 ปีต่อมา ในปี 1224 ก่อนคริศตกาล รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในหกวิหารหินแกะสลักที่ก่อสร้างขึ้นในนูเบียในช่วงระยะเวลาการครองราชย์อันยาวนานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ซึ่งอียิปต์โบราณเจตนาให้เป็นที่ประทับใจต่ออาณาจักรเพื่อนบ้านทางใต้ อีกทั้งยังเจตนาเพื่อเป็นการเผยแพร่ศาสนาของชาวอียิปต์เข้าไปในแคว้นทางใต้ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่าสถาปัตยกรรมของอาบู ซิมเบลยังบ่งบอกถึงความภูมิใจและตัวตนของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อยู่เล็กน้อย








ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์


วิหารอาบูซิมเบล ( Abu Simbel Temple ) เป็นผลงานของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ในราชวงศ์ที่ 19 มีอายุนับถึงปัจจุบันกว่า 3,299 ปี ( 1290-1224 B.C. ) ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนาสเซอร์ทางตอนใต้สุดของประเทศ ติดชายแดนประเทศซูดาน


ทางใต้ของประเทศชาวอียิปต์เรียกว่า Upper Egypt สาเหตุก็เพราะว่ามีพื้นที่ภูมิประเทศสูงกว่าทางด้านเหนือและเป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำไนล์ สายน้ำมหัศจรรย์ที่มีต้นน้ำมาจากประเทศตอนกลางของทวีปแอฟริกามาบรรจบกันที่ประเทศซูดาน ก่อนไหลผ่านประเทศอียิปต์เป็นประเทศอกแตกตั้งแต่ทางด้านใต้ไปจรดเหนือสุดลงสู้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน บริเวณทิศเหนือหรือตอนบนเป็นที่ราบลุ่มมีพื้นที่ต่ำกว่า ชาวอียิปต์จึงเรียกบริเวณนี้ว่า Upper Egypt


ทางเข้าสู่วิหารอาบูซิมเบลปูด้วยอิฐบล็อกเป็นระเบียบ เส้นทางเลียบทะเลสาบ และมีท่าเรือเทียบหน้าวิหารพอดี เป็นสถาปัตยกรรมของฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่หลังจากเว้นว่างจากศึกสงครามปกป้องประเทศแล้ว การสร้างเทวสถานเพื่อสักการะและบูชาเทพเจ้าให้มากที่สุด และสร้างสุสานให้กับตัวเองไปพร้อม ๆ กันด้วย และดูเหมือนว่าฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramesess II ) ทรงมีปรีชาสามารถทั้งการรบและสร้างเทวสถานทำนุบำรุงมากกว่าฟาโรห์องค์ใด ๆ พระองค์จึงทรงได้รับการขนานนามต่อท้ายว่า “มหาราช ”






รามเสสที่ 2 มีเหตุผลในการสร้างเทวสถานขึ้นบริเวณนี้ เพราะพระองค์ต้องการแสดงอำนาจเหนือ อาณาจักรคูช ( Kush ) ของชาวนูเบียน ซึ่งมีอิทธิพลมากทางอียิปต์ตอนบน Upper Egypt และต้องการให้ผู้คนได้เห็นว่า พระองค์มีบารมีเพราะได้รับการปกป้องจากสุริยเทพที่ผู้คนกราบไหว้ วิหารแห่งนี้จึงสร้างถวายแด่เทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ ( Ra-Jprakhty ) ดังรูปแกะสลักเหนือทางเข้าวิหารแห่งรามเสส และอีกประการเพื่อแสดงความรักต่อองค์มเหสีผู้เป็นราชินี จึงได้สร้างวิหารอีกหลังแก่พระนางเนฟเฟอร์ตารี ( Nefertari ) เพื่อถวายสักการะแด่เทวีฮาเธอร์ ( Hathor ) พระมารดาแห่งจักรวาลอันเป็นสุริยเทวี แต่เทวสถานแห่งนี้ได้ถูกโยกย้ายมาประกอบขึ้นใหม่ และโดยเฉพาะภูเขาทั้งสองลูกที่สร้างครอบเทวสถานทั้งสองหลังนี้คือภูเขาเทียม แต่ความยิ่งใหญ่กลับสร้างความตื่นตา และกลับยิ่งทึ่งในความสามารถของมนุษย์ที่สามารถแก้ปัญหาอันยิ่งใหญ่ได้ในเวลาอันรวดเร็วแก่เทวสถานแห่งนี้ เดิมทีวิหารแห่งนี้จมอยู่ในโคลนตมและทรายนานหลายศตวรรษ ถูกค้นพบโดยบังเอิญโดยชาวสวิส ชื่อ Johann Ludwig Burckhardt ในปี ค.ศ. 1813 ต่อมา Giovanni Battista Belzoni ชาวอิตาเลียนมาสำรวจจนพบทางเข้าในปีค.ศ. 1817 และได้มีการนำทรายในวิหารออกจนหมด จนกระทั่งปีค.ศ. 1960 องค์การยูเนสโก ( Unesco ) ได้เข้ามาช่วยเหลือ รวมถึงประเทศต่างๆ ด้วย เพื่อกู้เทวสถานและโบราณวัตถุบริเวณใกล้ทะเลสาบนาสเซอร์ที่มีถึง 10 แห่ง หนีน้ำจากการสร้างเขื่อนอัสวานแห่งใหม่ ( Hight Dam ) ถ้าไม่รีบย้ายหนีรับรองเราคงต้องได้ชมวิหารแห่งนี้ใต้น้ำอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงมีเสียงตอบรับช่วยเหลือด้านเงินมากจาก 51 ประเทศ และดำเนินการกู้เทวสถานอาบูซิมเบลโดยทีมงานจากนักโบราณคดีประเทศต่าง ๆ มีอียิปต์ อิตาลี สวีเดน เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยเริ่มทันทีเมื่อปีค.ศ. 1964 ตัววิหารอาบูซิมเบลและรูปสลักลอยตัวของฟาโรห์รามเสสที่ 2 อันใหญ่โตมหึมาถูกตัดออกเป็นชิ้น เหมือนกำแพงหนา ๆ โดยเฉพาะชิ้นส่วนบริเวณในหน้าของรูปสลักจะถูกเลื่อยมาทั้งใบหน้า โดยมีเดือยทางแผ่นหลังของใบหน้ายื่นออกเพื่อสอดเข้ากับชิ้นส่วนช่วงหัวอีกที ชิ้นส่วนต่าง ๆ มีมากกว่า 2,000 ชิ้น น้ำหนักของชิ้นส่วนแต่ละชิ้นเฉลี่ยประมาณ 10-40 ตัน ทุกชิ้นถูกกำกับด้วยหมายเลขเพื่อการประกอบที่ถูกต้อง หลังจากนั้นจึงได้ขนย้ายชิ้นส่วนดังกล่าวมาก่อสร้างขึ้นใหม่บริเวณที่อยู่ในปัจจุบัน การเริ่มสร้างประกอบขึ้นใหม่เริ่มจากการสร้างวิหารและวางรูปสลักรามเสสที่ 2 ให้เสร็จสิ้นก่อน แล้วค่อยสร้างภูเขาเทียมครอบทับทีหลังในลักษณะเป็นโดม ( Dome ) ตัววิหารทั้งสองหลังหันหน้าออกไปทางทะเลสอบนาสเซอร์ อยู่ห่างจากพื้นที่เดิมประมาณ 210 เมตร และบริเวณนี้มีความสูงกว่าพื้นที่เดิมกว่า 65 เมตร ทุกอย่างทางทีมงานนักโบราณคดีพยายามให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด เพื่อความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานแห่งนี้ และโครงการนี้ก็เสร็จสมบูรณ์เปิดให้เข้าชมอีกครั้งใน ค.ศ. 1968 รวมเวลาการกู้และบูรณะยาวนานถึง 4 ปี เสียค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น ประมาณ 40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ











มหาวิหารแห่งฟาโรห์รามเสสที่ 2 เดิมก่อสร้างโดยเจาะภูเขาหินทรายลึกเข้าไป ด้านหน้ามีขนาดความกว้าง 35 เมตร เหมือนหน้าผา สูง 30 เมตรมีรูปสลักประทับนั่งของฟาโรห์รามเสสที่ 2 เองถึง 4 รูปเพื่อเฝ้าด้านหน้าวิหารแห่งนี้ มีความสูงถึง 20 เมตร รูปสลัก 2 องค์ จากซ้ายส่วนหัวแตกหักหล่นลงอยู่เบื้องล่าง และรูปสลักฟาโรห์ทั้ง 4 จะปรากฏรูปสลักเล็ก ๆ เป็นผู้หญิงยืนระหว่างขาของรูปคือ รูปสลักของพระมารดา มเหสี โอรสและธิดาของฟาโรห์ อันมีความหมายว่า พระองค์คือผู้ปกป้องนั่นเอง มีวิธีสังเกตดังนี้ เช่น รูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 จะมีชื่อของท่านแกะสลักร่องลึกอยู่ที่ต้นแขน ช่องที่แกะชื่อด้วยอักษรอียิปต์โบราณ (Hieroglyphic) นั้น เขาเรียกว่าคาร์ทูช (Cartouche) ตัวคาร์ทูชนี่แหละคือตัวบ่งบอกอธิบายหลักฐานต่าง ๆ ในอียิปต์ให้เราเข้าใจ ด้านบนสุดด้านหน้าวิหารจะถูกประดับด้วยรูปสลักลิงนั่งเรียงเป็นแถวยาวตามความยาวของหน้าวิหารนับได้ 22 ตัว ตัวเลข 22 ดังกล่าวนี้ หมายถึง ช่วงเวลาของแต่ละวันมันจะหมุนไปตลอดเวลา เปรียบเหมือนอากัปกริยาของลิง อันหมายถึงใน 1 วันมีแค่ 24 ชั่วโมง ฟาโรห์รามเสสคงสร้างไว้เป็นคติสอนใจพวกที่ไม่รู้คุณค่าของเวลา แต่หนังสือบางเล่มเขียนว่ามีลิง 23 ตัวด้วย ลิงบาบูนจะเป็นสัญลักษณ์ของการสักการบูชาและการทำความเคารพดวงอาทิตย์ เนื่องจากแสงอาทิตย์แรกจะส่องไปยังลิงพวกนี้ก่อน แล้วค่อยเลื่อนลงมาจับรูปปั้นทั้ง 4 ของ Ramses II ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับการแสดงความเคารพต่อดวงอาทิตย์นอกเหนือจากการบ่งบอกช่วงเวลา เหนือประตูทางเข้าวิหารคือ รูปสลักเทพเจ้ารา –ฮอรัคตี้ ประทับยืนโผล่ออกมาจากช่องเหนือประตูหน้าวิหาร ด้านข้างคือภาพแกะสลักร่องลึกรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ทั้งสองด้านกำลังบูชา โดยในมือยื่นถวายเทวีมาอัต ( Maat ) แด่เทพเจ้ารา – ฮอรัคตี้ ห้องโถงแรกภายในวิหารเรียกว่า ( Great Pillared Hall) จุดเด่นอยู่ที่เสาทั้ง 8 ต้นถูกประดับด้วยรูปสลักของรามเสสที่ 2 เองโดยทรงเครื่องแบบเทพโอซิริส ช่วยยืนค้ำภายในวิหาร เป็นสไตล์คล้ายศิลปะกรีก ที่นิยมนำรูปปั้นคนมาตกแต่งหัวเสา แต่เป็นภายนอกอาคาร ผนังภายในวิหารถูกแกะสลักร่องลึกลงสีรูปเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมคาร์ทูชอธิบายเหตุการณ์มากมาย ภาพส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับภารกิจด้านสงครามของรามเสสที่ 2 เป็นภาพที่สำคัญยิ่งที่พระองค์ได้รับชัยชนะราวปาฏิหาริย์ เพราะพระองค์ได้รับพรและความช่วยเหลือจากเทพเจ้าอะมอนรา คือครั้งการสู้รบกับพวกฮิตไทต์ (Hittites) ที่เมืองคาเดช ( Kadesh ) ในปี 1300 B.C. ตามประวัติศาสตร์อ้างว่ารามเสสที่ 2 สามารถสนองความประสงค์ของผู้เป็นพ่อคือฟาโรห์ เซติที่ 1 ( Seti I ) ที่ทรงต้องการปราบพวกฮิตไทต์เป็นหนักหนา แต่ชัยชนะที่รามเสสที่ 2 ได้รับก็ไม่ใช่ชัยชนะที่ยั่งยืนหรือถาวรเพราะกองทัพฮิตไทต์ฉลาดในการรบยิ่ง รามเสสที่ 2 จึงใช้วิธีทำสัญญาสงบศึกจนมีความสัมพันธ์แนบแน่นเมื่อพระองค์ได้เจ้าหญิงแห่งฮิตไทต์มาเป็นพระสนมถึง 2 องค์ เลยเพิ่มสถิติจำนวนมเหสีและนางสนมทั้งสิ้น รวม 60 พระองค์แก่รามเสสที่ 2 ส่วนโอรสและธิดานั้นนับร้อย แถมพระองค์ยังอายุยืนอีกต่างหากถึง 92 พรรษา ในที่สุดก็มาถึงห้องที่สำคัญที่สุดซะที ห้องสำคัญที่ว่าคือ ห้องขนาดเล็กอยู่ลึกสุดภายในวิหารก่อนผ่านพิลลาร์ฮออล์ ( Pillared Hall) ขนาดเล็กไป ห้องนี้ลึกถึง 47 เมตร จากปากทางเข้า ตรงกลางห้องมีแท่นบูชาสำหรับวางเรือศักดิ์สิทธิ์ของเทพอะมอนรา (Sacred Braque) ติดผนังด้านหลังสุดของห้องเล็ก ๆ นี้มีรูปสลักลอยตัว 4 รูปประทับนั่งอยู่ มองเข้าไปนับจากด้านขวามือของเราเองคือเทพ รา-ฮอรัคตี้ (มีแผ่นสุริยวงกลมบนศีรษะ) ถัดมาคือ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 รูปที่ 3 คือเทพอะมอนราและเทพพทาห์องค์ซ้ายสุด มือสองข้างกุมคฑา ภาพฝาผนังด้านข้างเป็นภาพการบูชาเทพอะมอนราพร้อมรูปเรือโซลาร์โบ๊ต ที่เทพเจ้าใช้เป็นพาหนะเดินทางท่องจักรวาล เทพเจ้าทั้ง 3 รูปล้วนมีความสำคัญยิ่งในดินแดนไอยคุปต์ ฟาโรห์รามเสสที่ 2 จึงอัญเชิญมาประทับรวม ณ วิหารแห่งนี้ เทพรา-ฮอรัคตี้เป็นสุริยเทพแห่งเมืองเฮลิโอโปลิสที่เคยเป็นเมืองหลวง เทพพทาห์เป็นเทพประจำเมืองเมมฟิสอดีตเมืองหลวงเช่นกัน และเทพอะมอนรา เทพประจำเมืองหลวงธีบส์ในสมัยรามเสสที่ 2 เอง






ภายในห้องนี้ยังมีปรากฏการณ์สำคัญอีกอย่างด้วย แต่เป็นที่น่าแปลกใจตรงที่เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นก่อนที่จะย้ายวิหารมายังที่ปัจจุบันเสียอีก แต่เมื่อย้ายมาอยู่ที่นี้ก็ยังเกิดปรากฏการเช่นเดิมอีก เพียงแต่วันที่จะปรากฏการณ์เปลี่ยนไปเท่านั้นคือ ทุก ๆ ปีในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม เพียง 2 ครั้งใน 1 ปี จะมีลำแสงของดวงอาทิตย์ตั้งแต่เช้าตรู่จากทางตะวันออก พุ่งกระทบแผ่นน้ำในทะเลสาบ มาทะลุผ่านวิหารลอดเข้าสู่ภายในห้องบูชาแห่งนี้ เรื่องวันที่เกิดปรากฏการณ์แบ่งเป็น 2 ชุดใหญ่ๆ คือ วันที่แสงส่องก่อนย้ายวิหาร กับวันที่แสงส่องหลังย้ายวิหารไปแล้ว โดยรวมสรุปได้ประมาณนี้ ก่อนย้ายแสงจะส่องเข้าวันที่ 21 มีนาคม และ 21 กันยายน หลังย้ายแสงจะส่องเข้าวิหารมี 3 ข้อมูล คือ 20 กุมภาพันธ์ และ 20 ตุลาคม, 21 กุมภาพันธ์ และ 21 ตุลาคม, 22 กุมภาพันธ์ และ 22 ตุลาคม วันที่ยืนยันว่าเกิดปรากฏการณ์นี้ค่อนข้างยืนยันว่าเป็นวันที่ 22 มากกว่าวันอื่นๆ ลำแสงจะไปจับอยู่ที่เทพรา-ฮอรัคตี้ ก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไปที่รูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 สักพักก็เลื่อนไปฉายที่รูปเทพอะมอนรา ก่อนฉายกลับมาทางเดิมโดยที่ไม่ฉายไปที่เทพพทาห์เลย เหตุผลคือ เทพพทาห์ เป็นเทพที่สถิตอยู่ในความมืดมิดนั่นเอง นับว่าเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อจริง ๆ นั้นคือเหตุผลที่ทำให้เรายอมรับการคำนวณของคนในสมัยโบราณ เพิ่มเติมเรื่องเทพพทาห์ (Ptah) คือเทพประจำนคร Memphis ดูแลงานช่าง งานฝีมือ อาจจะเกี่ยวกับโลกใต้บาดาล และคนตายบ้าง แต่ว่าไม่มีเหตุผลที่เทพพทาห์จะต้องอยู่ในความมืด จึงเกิดข้อสงสัยว่าทำไมเทพพทาห์ถึงต้อง “ไม่โดนแสง" เพราะยังไม่มีหลักฐานจากตำนานไหนที่บอกว่า "เทพพทาห์คือเทพที่สถิตอยู่ในความมืดมิด" เหตุผล “การไม่โดนแสง” จึงน่าจะเป็นการอธิบายจากคนรุ่นใหม่มากกว่าเป็นความตั้งใจของคนยุคโบราณที่จะสร้างวิหารออกมาเช่นนั้น เทพ Amun ที่แปลว่า "ซ่อนเร้น" ยังเหมาะและดูสมเหตุสมผลกว่า ในการ “ไม่ให้แสงส่องมาถึง” เนื่องจากพระองค์เป็น "ผู้ซ่อนเร้น" ดังนั้นจึงไม่มีแสงสว่างส่องมาถึงพระองค์ พราะหากคิดในแง่การคำนวณแสงจริงๆ เมื่อมีการย้ายวิหารมาที่ใหม่ก็ไม่น่าจะเกิดปรากฏเฉพาะตามที่คนโบราณตั้งใจไว้ แต่น่าจะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญโดยมีเงื่อนไขว่าวิหารต้องหันไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น (เสนอประเด็นไปท้าต่อยกับการท่องเที่ยวอียิปต์แล้ว ไม่มีปรากฏการณ์เรียกความสนใจ มันจะเรียกเงินจากนักท่องเที่ยวได้ไง เขาก็ต้องคิดเรื่องมาอธิบายสิ) แต่เดิมภายใน Abu Simbel เคยทาสีไว้ทั้งหมด ภาพที่ David Roberts วาดมาก็มีสีเหมือนกันเป็นไปได้ว่าเดิมรูปปั้นทั้ง 4 นี้ก็มีสีเป็นปกติ แต่ว่าสีเริ่มหลุดร่อนมาเรื่อยๆ เพราะสภาพอากาศและความชื้นจากนักท่องเที่ยวรวมทั้งตอนขนย้ายวิหาร ทำให้สภาพในตอนนี้สีได้หลุดลอกไปจนหมด สถานที่สุดท้ายที่จะกล่าวถึง เป็นวิหารแห่งฟาโรห์รามเสสมหาราชคือ วิหารแห่งพระนางเนฟเฟอร์ตารี หรืออาจเคยได้ยินชื่อเรียกที่ว่า ( Temple of Hathor, Temple of Love, Nefertari Temple) สร้างถวายแด่เทวีฮาเธอร์ ด้านหน้าวิหารมีรูปสลักลอยตัวสูงประมาณ 10 เมตร เป็นรูปของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ขนาบสลับกันกับรูปพระนางเนฟเฟอร์ตารีซึ่งสวมมงกุฎราชินีทั้ง 2 รูป ส่วนรูปสุดท้ายขวามือเราก็เป็นรูปของรามเสสที่ 2 เอง ทรงสวมหมวกแบบฟาโรห์พร้อมมงกุฎหางนกมีแผ่นโซลาร์ดิสก์ มีความหมายถึงพระองค์เทียบเท่าสุริยเทพ และรูปสลักของรามเสสอีก 3 รูป ทรงสวมหมวกทรงปาปิรัสและดอกบัวตูม มีความหมายถึงการขึ้นครองสองอาณาจักรทั้งอียิปต์ล่างและอียิปต์บน ส่วนรูปปั้นองค์เล็กในแต่ละช่วงของระหว่างขาของฟาโรห์รามเสสที่ 2 และพระนางเนฟเฟอร์ตารี คือ โอรสและธิดาในพระองค์ บ่งบอกความหมายว่า พระองค์ทั้งสองคือผู้ปกครองภายในวิหารด้านหลังกำแพงทางเข้าเป็นภาพการต่อสู้ที่สำคัญยิ่ง ณ ที่แห่งนี้ของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ที่มีชัยชนะเหนือชาวนูเบียน และที่สำคัญคือ ภาพเทพอะมอนราคอยช่วยเหลือโดยยื่นอาวุธให้กับรามเสสเพื่อสังหารชาวนูเบียนอีกด้วย เสา 6 ต้น ( Pillars ) ภายในห้องโถงประดับหัวเสาด้วยศิลปะแบบฮาเธอร์ ( Hathor Pillars ) คือใช้รูปใบหน้าของเทวีฮาเธอร์ใบหูวัวประดับหัวเสา เทวีฮาเธอร์ได้ชื่อว่าเป็นพระมารดาแห่งจักรวาล เป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความรัก และยังถือว่าเป็นสุริยเทวีที่สุริยเทพ รา ทรงเนรมิตขึ้นมาอันมีวัวเป็นสัญลักษณ์ ดังนั้นรูปลักษณ์ของเทวีจึงอยู่ในร่างมนุษย์ มีเขาวัวคู่พร้อมแผ่นสุริยวงกลมบนหัว ภาพบนฝาผนังของวิหารแห่งนี้ถูกประดับด้วยภาพสีบนร่องลึกที่แกะสลักไว้ ที่สำคัญ คือ ภาพที่พระนางเนฟเฟอร์ตารี่ทรงได้รับการประทานพรให้ได้สวมมงกุฎราชินีจากเทวีฮาเธอร์และเทวีไอซิสและคำร่ำลืออันยิ่งใหญ่ถึงราชินีองค์นี้ก็คือ พระนางทรงเป็นที่รักยิ่งของเทวีมัต ( Mut ) ผู้เป็นมเหสีของสุริยเทพผู้ยิ่งใหญ่ คือเทพอะมอนรานั่นเอง





แหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง

หุบผากษัตริย์และหุบผาราชินี






หุบผากษัตริย์ (Valley of the King) ตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ของแม่น้ำไนล์ โดยหุบเขานี้เป็นสุสานของฟาร์โรห์ตั้งแต่ สมัยTuhtmose หลบซ่อนอยู่ในเทือกเขา Theban มีทั้งบรรพกษัตริย์ เหล่าราชวงศ์และขุนนางทั้งหลาย ถือเป็นโบราณสถานที่ สำคัญแห่งหนึ่งของอียิปต์ที่มีการ ขุดค้นทางโบราณคดีเกือบศตวรรษ ปัจจุบัน สุสานนี้มี อายุกว่า 3,000 ปี การตกแต่งภายใน วิหารเต็มไปด้วยภาพจิตรกรรมที่งดงาม และสีของภาพยังคงดูสดใส มีชีวิตชีวาอยู่ ณ ปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีสุสานของฟาโรห์ตุตันคาแมน ซึ่งสมบัติ ทั้งหมดที่ค้นพบ ถูกแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ไคโร และสุสานของ พระนางฮัตเซบสุด ฟาร์โรห์หญิงองค์เดียวของอียิปต์ หรือราชินีหนวด อนุสรณ์แห่งนี้สร้างขนาน ไปกับเทือกเขา และระหว่าง ทางก็จะมีรูปสลักหินลอยตัวขนาดใหญ่ของพระเจ้าอเมนโนฟิสที่ 3 ซึ่งได้ ตำนานเล่าเรื่องประหลาดของรูปสลักหินนี้ไปไกล ถึงกรีซ




พิพิธภัณฑ์อียิปต์





พิพิธภัณฑ์ ของกรุงไคโร นับว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ของโลกที่เก่าแก่ที่สุดมานานและมีชื่อเสียง เนื่องจากเป็นสถานที่เก็บรักษาวัตถุโบราณที่ถูกค้นพบจากที่ต่างๆ จากหลายยุคสมัย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยท่านเมเรียต ออกัสท์ นักเชี่ยวชาญวัตถุโบราณ ชาวฝรั่งเศษ เริ่มเปิดขึ้นวันที่ 15 เดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ 1902


จาก ประวัติศาสตร์อียิปต์ได้กล่าวว่า ในสมัยปี ค.ศ 1826 ได้มีการสร้างพิพิธภัณฑ์ชั่ว คราว ณ ริมฝั่งสระเอซเบก แต่กษัตริย์สมัยนั้นกลับ ไม่เห็นความสำคัญ นำวัตถุโบราณ มอบเป็นของกำนัลแก่นักบริหาร และข้าราชการชั้นสูงชาวยุโรป ทำให้วัตถุโบราณเหลือ น้อยลงมาก โดยเฉพาะในปีค.ศ. 1855 จักรพรรดิมิกส์มิเลียนชาวออสเตรีย ได้นำวัตถุ โบราณจากอียิปต์เป็นของกำนัลกลับประเทศ จากท่านเคเดวีย์อับบาสบาชา เมื่อครั้นมา เยือนอียิปต์ ทำให้ชาวอียิปต์ต่างเศร้าสลดใจอย่างมาก และปัจจุบัน วัตถุเหล่านั้นก็ยังอยู่ ณ กรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย




วิหารคาร์นัค





มหาวิหารคาร์นัค เป็นมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุดของอียิปต์ เป็นมหาวิหารที่บอกเรื่องราวและร่องรอยแห่งอารยธรรมที่แท้จริงของอียิปต์ทั้งโบราณทางด้านศิลปะ และวัฒธรรมของคนในยุคนั้นได้บ่งบอกไว้ในซากปรักหักพังของมหาวิหารคาร์นัคอันยิ่งใหญ่และกว้างใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ มหาวิหารคาร์นัคอยู่ห่างจากศูนย์กลางตัวเมืองคือ ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวิหารลักซอร์ประมาณ 2.6 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่เทพเจ้าอะมอนรา เช่นเดียวกันกับวิหารลักซอร์ และเพื่อเป็นสถานที่จัดพิธีกรรมเกี่ยวกับความเชื่อของอียิปต์โบราณ ดังนั้นวิหารทั้งสองจึงมีความเกี่ยวพันกันเกี่ยวกับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาด้วย




สรุป

วิหารอาบูซิมเบล : Abu Simbel เป็นวิหารที่สวยงามที่สุดของอียิปต์โบราณ ตั้งอยู่ที่เมืองอัสวาน (ภาคใต้ของอียิปต์) สร้างโดย ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ( Ramses II ) เมื่อ ประมาณ 3,270 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน เคยเป็นหนึ่งในหกวิหารหินแกะสลักที่ สถาปัตยกรรมของอาบู รามเสสที่ 2 มีเหตุผลในการสร้างเทวสถานขึ้นบริเวณนี้ เพราะพระองค์ต้องการแสดงอำนาจเหนือ อาณาจักรคูช ( Kush ) ของชาวนูเบียน ซึ่งมีอิทธิพลมากทางอียิปต์ตอนบน Upper Egypt และต้องการให้ผู้คนได้เห็นว่า พระองค์มีบารมีเพราะได้รับการปกป้องจากสุริยเทพที่ผู้คนกราบไหว้ วิหารแห่งนี้จึงสร้างถวายแด่เทพเจ้ารา-ฮอรัคตี้ ( Ra-Jprakhty ) ดังรูปแกะสลักเหนือทางเข้าวิหารแห่งรามเสส และอีกประการเพื่อแสดงความรักต่อองค์มเหสีผู้เป็นราชินี จึงได้สร้างวิหารอีกหลังแก่พระนางเนฟเฟอร์ตารี ( Nefertari ) เพื่อถวายสักการะแด่เทวีฮาเธอร์ ( Hathor ) พระมารดาแห่งจักรวาลอันเป็นสุริยเทวี นอกจากนี้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงที่สำคัญ เช่น หุบผากษัตริย์และหุบผาราชินี พิพิธภัณฑ์อียิปต์ และ วิหารคาร์นัค จึงนับได้ว่า วิหารอาบูซิมเบล เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญมากที่หนึ่ง ของอียิปต์โบราณ เป็นที่ที่ทรงคุณค่าควรแก่การทำนุบำรุงรักษาและอนุรักษ์ไว้ ถือได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่บ่งบอกถึงความเป็นอียิปต์ได้เป็นอย่างดี




บรรณานุกรม

Imseti,Detectiveoat13

http://www.pantown.com/board.php?id=36953&area=3&name=board5&topic=15&action=view

นิตยสารเที่ยวรอบโลก ฉบับที่ 225 ( อภิชาย ติยะจันทร์ )

หนังสือ อียิปต์ดินแดนแห่งฟาโรห์ ( วีณา รุธิรพงศ์)

หนังสือ จิบไนล์ ไต่พีระมิด ( กาญจนา หงษ์ทอง )

หนังสือ อาถรรพณ์ อียิปต์ ( สำเริง สำพันธารักษ์ )




เหตุผลที่เลือก

     เพราะว่า เป็นมรดกโลกที่มีความสวยงามมาก และเป็นแหล่งที่มีเรื่องประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมาเลย
มีเรื่องราวที่น่าค้นคว้า และเป็นวิหารที่สวยงามที่สุดของอียิปต์โบราณ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "วิหารแห่งรามเสสอันเป็นที่รักของเทพเจ้าอามุน เคยเป็นหนึ่งในหกวิหารหินแกะสลักที่ สถาปัตยกรรมของอาบู รามเสสที่ 2 มีเหตุผลในการสร้างเทวสถานขึ้นบริเวณนี้ เพราะพระองค์ต้องการแสดงอำนาจเหนือ อาณาจักรคูช ( Kush ) ของชาวนูเบียน  เรื่องราวในสมัยนั้นเป็นเรื่องราวที่ดีและน่าจดจำไว้ประดับความรู้

วิชา ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว คำถามท้ายบท

วิชา ศิลปวัฒนธรรมตะวันตกเพื่อการนำเที่ยว



แบบฝึกหัดบทที่ 1


1. ข้อใด ไม่ ถูกต้อง


ค . มนุษย์ไม่ต่างจากสัตว์ในแง่อารมณ์และความรู้สึกทางธรรมชาติ


2. การที่สังคมมีความซับซ้อนและมีความเจริญทางวัตถุดิบเกิดจากปัจจัยสำคัญในข้อใด


ค . เครื่องมือ


3. ข้อใดถูกต้องที่สุดเมื่อกล่าวถึงการศึกษางานศิลปะสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในโลกตะวันตก


ง . ภาพเขียนสีถ้ำลาสโคซ์


4. คำว่ามนุษย์ผู้ถนัดในการใช้เครรื่องมือตรงกับข้อใดมากที่สุด


ก. โฮโมฮาบิลิส


5. ข้อใดเป็นมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์กลุ่มหนึ่งในยุโรปซึ่งทิ้งผลงานศิลปะไว้มากมายในถ้ำต่าง ๆ


ข. โครมันยอง


6. ข้อใด มิใช่ แหล่งโบราณคดีซึ่งพบหลักฐานภาพเขียนสีสมัยหินเก่าอายุประมาณ 30,000-25,000 BC. ในยุโรป


ค. โอลดูเวย์


7. ข้อใดเป็นศิลปะถ้ำซึ่งพบโดยบังเอิญจากการเล่นซุกซนของเด็กสองคนเมื่อค.ศ.1940


ข. ลาสโคซ์


8. ภาพเขียนสีถ้ำอะไรมักถูกยกเป็นตัวอย่างของจิตรกรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์เสมอ


ก. อัลตามีรา


9. ข้อใดไม่ถูกต้อง


ง. งานประติมากรรมรูปคนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ มักมีขนาดใหญ่


10. Menhir or Standing Stone เป็นอนุสาวรีย์หินแบบใด


ข. หินตั้งเดี่ยว






……………………………………….




แบบฝึกหัด บทที่ 2


1. พื้นฐานดั้งเดิมก่อนเกิดอารยธรรมตะวันตกก่อตัวขึ้นเมื่อใด


ก. ประมาณ 4,000 BC.


2. ภูมิภาคแถบเอเชียไมเนอร์เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมโบรารข้อใด


ก. เมโสโปเตเมีย


3. แม่น้ำไทกริส- ยูเฟรตีสพัดดินตะกอนมาท่วมสองฝั่งภาคใต้ของดินแดนเมโสโปเตเมียในฤดูใบไม้ผลิระหว่างเดือน................. ทำให้ภาคใต้เป็นดินแดนที่ราบลุ่มชายฝั่งทะเลอุดมด้วยปุ๋ยธรรมชาติเหมาะต่อการเพาะปลุกพืชพรรณธัญญาหารต่าง ๆ ข้อใดถูกต้อง


ข. มีนาคม – พฤษภาคม


4. พื้นที่ภาคเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมียมีฝนตกชุกเมื่อใด


ก. ฤดูร้อน


5. ข้อใดเป็นชนชาติเก่าแก่ที่ริเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมเมโสโปเตเมียขึ้นมา


ก. ชาวสุเมอเรียน


6. ข้อใดเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียมองโลกในแง่ร้ายและไม่เห็นคุณค่าของชีวิต


ข. เห็นตนเองเป็นทาสที่เกิดมาเพื่อรับใช้เจ้า


7. ชาวสุเมเรียนไม่นิยมสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ แต่นิยมสร้างซิกเกอแรท (Ziggurats) ศาสนสถานขนาดใหญ่กลางเมืองเป็นที่ประทับของเทพเจ้า ลักษณะคล้ายภูเขาห้อมล้อมด้วยกำแพงเมืองและบ้านเรือนประชาชน สร้างจากวัสดุประเภทใด


ก. อิฐตากแห้ง


8. ข้อใดเป็นการปกครองในระยะแรก ของอาณาจักรสุเมอเรียน


ข. นักบวช


9. ข้อใดเป็นอักษรที่เกิดจากการใช้ไม้เขียนลงบนแผ่นดินเหนียวแล้งผึ่ง หรืออบให้แห้ง


ก. คูนิฟอร์ม


10. ข้อใดเป็นชื่อของผู้ก่อตั้งอาณาจักรบาบิโลเนีย


ก. ฮัมมูรราบี


11. “พวก Canaanites” เป็นคำเรียกชาชาติในข้อใด


ก. ชาวฟินิเชียน


12. หลังจากถูกรุกรานดดยชาวยิวและชาวฟิลิสไตน์เมื่อประมาณ 1,300-1,000BC. ดินแดนของชาวคะนาอันไนต์จึงเหลือเพียง “ฟีนิเซีย” ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งแคบ ๆ ของทะเลอะไร


ก. ทะเลเมดิเตอเรเนียน


13. ในปี 750BC. ชนชาติใดได้มายึดครองดินแดนชาวฟีนีเชียนจนเกือบหมด เหลือเพียงอาณานิคมที่เมืองคาร์เธจเท่านั้น


ก.ชาวแอสซิเรียน


14. ข้อใดเป็นต้นตระกูลของอักษรที่ชาวยุโรปใช้อยู่ในปัจจุบัน


ข. อักษรคูนิฟอร์ม


15. ชาวฮิบรูเป็นชนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายเมื่อ 1,400BC. มี Moses เป็นผู้นำสำคัญในการปลดแอกจากการเป็นทาสของชนชาติใด


ข. อียิปต์


16. ข้อใดเป็นผู้ก่อตั้วอาณาจักรอิสราเอลเมื่อประมาณ 1,013-973BC.


ก. พระเจ้าเดวิด


17. อาณาจักรอิสราเอลถูกทำลายโดยชนชาติใด


ง. ชาวแอสซิเรียน


18. เหตุการณ์ที่เรียกว่า The Babylonian Captivity เกี่ยวข้องกับชนชาติใด


ข. ชาวฮิบรู


19. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับศาสนายูดาย


ข. นับถือพระยะโฮวา


20. ผู้สถาปนาอาราจักรเปอร์เซียเมื่อปี 549BC. คือใคร


ง.พระเจ้าไซรัส






……………………………………………..

















แบบฝึกหัดบทที่ 3


1. มหากาพย์อีเลียดและโอเดสซีเป็นของอารยธรรมกรีกยุคใด


ก. ยุคมืด


2. วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพของเทพองค์ใด


ข. อะเธนา


3. หัวเสาทำเป็นรูปใบไม้ตรงกับข้อใด


ค. หัวเสาแบบโครินเธียน


4. ความนิยมในการสร้างประติมากรรมหญิงเปลือยแทนรูปชายเปลือยเกิดขึ้นในยุคใด


ง. ยุคเฮเลนิสติก


5. จิตรกรรมกรีกสมัยแรกมักทำ Back ground เป็นสีอะไร


ข. สีแดง


6. ลักษณะของงานจิตรกรรมที่นิยมวาดสีพื้นตัดกับภาพวาดในฉาก แล้วพัฒนาเป็นรูปเครือเถา และรูปเล่าเรื่องในนิทานปรัมปรา (Methology) และมหากาพย์ของโฮเมอร์อย่างกลมกลืนงดงามเกิดขึ้นในยุคใด


ค. ยุคคคลาสสิค


7. การแสดงละครแพร่หลายมากในยุคใด


ง. ยุคคลาสสิค


8. ข้อใดถูกต้องเมื่อกล่าวถึงละครแบบโศกนาฏกรรม (Tragedy) และสุขนาฏกรรม (Comedy)


ก. ตัวละครชายทั้งหมด


9. นักปรัชญากรีกที่ก่อตั้งสำนักอะคาเดมีขึ้นที่เอเธนส์คือใคร


ก. โสเครตีส


10. นักปรัชญาที่เชื่อว่า ปัญญานำมาซึ่งความรู้ และความรู้นำมาซึ่งความสุขสบาย ถ้าปราศจากความสุขสบายมนุษย์จะไม่เกิดปัญญา คือใคร


ข. อริสโตเติล


11. เทพองค์ใด มิใช่ พี่น้องของมหาเทพซูส


ค. อะธีนา






12. อาวุธของมหาเทพซูส คือ อะไร


ง. สายฟ้า


13. เทพที่มักปรากฏกายในลักษณะสวมหมวกขอบกว้างสวมรองเท้ามีปีกถือคทาที่มีงูพันคือใคร


ข. เฮอร์มีส


14. เทพแห่งการครองเรือนและเทพแห่งครอบครัว คือ ใคร


ค. เฮสเทีย


15. เทพีแห่งสงคราม ความเฉลียวฉลาด และศิลปศาสตร์


ข. อะธีน่า


16. เป็นชนวนเหตุของสงครามกรุงทรอยคือใคร


ก. ปารีส






…………………………………….



แบบฝึกหัดบทที่ 4


1. การปกครองในข้อใดทำให้เกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)


ก. การปกครองแบบ Autocrat


2. หลังจากเกิดจักรวรรดิไบแซนไทน์ ข้อใดเป็นรุปแบบการปกครองของจักรวรรดิดังกล่าว


ก. การปกครองแบบ Autocrat


3. “โรมใหม่” หมายถึง ข้อใด


ข. คอนสแตนติโนเปิล


4. ข้อใด มิใข่ พื้นที่ของจักรวาดิโรมันตะวันออกในคริสต์ศตวรรษที่ 7


ค. คาบสมุทรไอบีเรีย


5. ข้อใดเป็นการปกครองที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจสูงสุดทั้งทางจักรวรรดิและทางศาสนา


ก. การปกครองแบบ Autocrat


6. จักรวรรดิโรมันตะวันออกใช้ภาษาอะไรในการสื่อสารอย่างเป็นทางการ


ก. ภาษากรีก


7. คริสศาสนาแบบ Chrisitian Hellenism มีศูนย์กลางที่ใด


ง. กรุงคอนสแตนติโนเปิล


8. ข้อใด ไม่ ถูกต้อง เกี่ยวกับการแพร่หลายของศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์


ง. ยุโรปตะวันตก


9. ข้อใด มิใช่ เมื่อสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่จักรพรรดิคอนสแตนตนทรงจัดไว้เมื่อค.ศ. 325


ก. เอเธนส์


10. ข้อใด ไม่ ถูกต้อง


ง. Novels คือ นิยายเรื่องยาว










…………………………………….












แบบฝึกหัดบทที่ 5


1. ยุคกลาง (The Middle Age ) หมายถึงยุคซึ่งอยู่ระหว่าง.......ค.ศ.410-1494


2. ศิลปะในสมัยยุคกลางตอนต้น (Early Middle Age Art) เรียกว่า......ยุคมืดแห่งศิลปวิทยาการ


3. ยุคกลางตอนปลาย (Lately Middle Age Art) เป็นยุคเสื่อมของ....... สถาบันศาสนาและระบอบศักดินา


4. ระบอบศักดินา (Feudalism) หมายถึง......... ระบบการปกครองและโครงสร้างทางสังคมที่เน้นความสำคัญของกรรมสิทธิ์ที่ดิน


5. ยุคกลางสิ้นสุดลงเมื่อ ........ ค.ศ.1492 และคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส .....ค้นพบทวีปอเมริกา


6. Benefice ในสมัยกลาง หมายถึง ...จารีตการยกที่ดินของวัดให้เอกชนเช่าโดยรับค่าตอบแทน


7. Lord หมายถึง.... ขุนนางชั้นสูงซึ่งได้รับพระราชทานกรรมสิทธ์ที่ดิน


8. พวก Crofter and Cotters ในสมัยกลางหมายถึง....... คนที่มีสถานภาพทางสังคมต่ำกว่าทาสติดที่ดิน


9. อำนาจของชนเผ่าเยอรมันมาจาก...... การใช้คมหอกสั้นปลายแคบและเครื่องมือเหล็ก


10. ชาวคริสต์เชื่อว่ากรุงโรมเป๋นสถานที่ศักดิ์สิทธ์เพราะ..... เป็นที่ฝั่งร่างของนักบุญปีเตอร์ สาวกเอกของพระเยซู


11. วิหารพระเจ้าชาเลอมาญ (King Chalemagn) ตั้งอยู่ที่เมือง......อาเคนประเทศเยอรมัน


12. โบสถ์ All Saint Church ที่นอร์แธมตันไชร์(Northamshire) ประเทศอังกฤษเป็นโบสถ์แบบ......แองโกล แซกซอนที่ยังคงเหลืออยู่มีอายุประมาณครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 10 ไม่มีอิทธิพลต่อศิลปะโรมัน


13. สถาปัตยกรรมแบบดรมาเนสก์ (Romanesque) มีลักษณะเด่นคือ ..... อาคารมีประตูมีหน้าต่างโค้งกลม กำแพงหนา กระเบื้องปูพื้นขนาดใหญ่ ภายในมีลักษณะทึบ


14. มหาวิหารดูแรห์ม (Dohram) มีลักษณะเด่นคือ..... การทำซุ้มโค้งแบบไหว้มาใช้เป็นครั้งแรก เสาขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยลวดลายซิกแซก และสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน


15. จุดเด่นของสถาปัตยกรรมกอธิก(Gothic)คือ.............. โปร่งบางและอ่อนซ้อย การใช้เสาค้ำยันจากภายนอกและการใช้เสาหินรองน้ำหนักของหลังคา


16. ใครเป็นผู้เขียนวรรณกรรมเรื่อง The City of God ...........นักบุญ


17. มหากาพยืเรื่อง Chanson de Roland สะท้อนให้เห็นคุณธรรมด้าน..... ความกล้าหาญ อุดมการณ์ จริยรรม ความเสียสละ และความศรัทราในศาสนาคริสต์


18. นิยายเพ้อฝันสมัยกลางเป็นเรื่องเกี่ยวกับ....... ความรักเกี่ยวกับหนุ่มสาว ความจงรักภักดีของ vassal ที่มีต่อ Lord เวทมนตืคาถา


19. The Idea of Chivalry หมายถึง......... การแสวงหาความรักเทิดทูนต่อสตรีสูงศักดิ์


20. Canterberry Tales คือ......... นิยายเสียดสีสังคม






……………………………







แบบฝึกหัดบทที่ 6


ตอนที่ 1 จงทำเครื่องหมายถูกหน้าข้อที่ถูกและทำเครื่องหมายกากบาทหน้าข้อที่ผิด


ผิด    1. ศูนย์กลางของศิลปะเรอแนสซองส์สมัยแรก (Early Renaissance) เกิดที่กรุงโรม


ถูก   2. พ่อค้าสมัยเรอแนสซองส์ (Renaissance) พยายามเลียนแบบวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของขุนนางสมัยกลาง เช่น การอุปถัมภ์การสร้างงานของศิลปิน


ผิด   3. ศิลปะสมัยเรอแนสซองส์ (Renaissance) นิยมความงามตามแบบอย่างจารีตสมัยกลาง


 ถูก  4. นักปรัชญามนุษยนิยมสนใจศึกษาเรื่องราวและหลักธรรมทางศาสนา


 ถูก 5. ตระกูลเมดิซี (Medici) เป็นผู้อุปถัมภ์ศิลปินที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence)






ตอนที่ 2 จับคู่ให้ถูกต้อง


ช. ชิมอนี(Chimoni) 1. การซื้อขายตำแหน่งทางศาสนาแบะใบไถ่บาป


จ. บารอค(Baroque) 2. ลักษณะที่ผิดเพี้ยนไปจากระเบียบแบบแผนดั้งเดิม


ญ. คาราวัคโจ(Caravaggio) 3. จิตรกรรมชื่อ Calling of Mathew


ฉ. เรมบรานท์ (Rembrandt) 4. ริเริ่มจัดภาพแบบกระจายซ่อนภาพรางๆไว้ในความมืดให้แสงจ้าเป็นจุด ๆ


ฆ. ประติมากรรมสมัยบารอค 5.แสดงท่าโลดโผนคล้ายแสดงละคร แต่งกายหรูหราทำผ้าจีบเป็นมุมเกินจริง


ค. เบอร์นินี (Bernini) 6. ประติมากรรมเดวิด


ง.สถาปัตกรรมสมัยบารอค 7. มีโครงสร้างละเอียดซับซ้อนแลดูพร่างพรายจากการเน้นแสงสว่างใน อาคารเป็นจุดๆ


ซ. รอคโคโค (Rococo) 8. มีโครงสร้างเป็นเส้นโค้งอ่อนหวานเน้นรายละเอียดที่จิตรพิสดาร


ฌ. จิตรกรรมสมัยรอคโคโค 9. เน้นให้เกิดความเคลิบเคลิ้มในบรรยากาศมากกว่าการรับรู้ความจริง


ข. ฟราโกนาร์ด (Fragonard) 10. จิตรกรรมชื่อ “การนัดพบของคู่รัก”










………………………………..









แบบฝึกหัดบทที่ 7


จงตอบคำถามต่อไปนี้


1 . ศิลปะลัทธินีโอ – คลาสสิก หมายถึงอะไร


ตอบ รูปแบบศิลปะที่หวนกลับไปนำปรัชญาและหลักสุนทรียภาพทางศิลปะแบบคลาสสิกของ กรีกโบราณมาสร้างสรรค์ขึ้นใหม่


2 . ความตื่นเต้นจากการขุดค้นพบเมืองอะไรสมัยโรมันซึ่งผลักดันให้เกิดผลักดันการเกิดศิลปะนีโอ – คลาสสิก


ตอบ เมืองเฮอร์คูลาเนียม กับ เมืองปอมเปอี


3 . ศิลปินคนกล่าวว่า “ศิลปะ คือ ดวงประทีปของเหตุผล” ซึ่งต่อมากลายเป็นความเชื่อของศิลปะ


ตอบ ดาวิด


4 . ศิลปะลัทธินีโอ – คลาสสิก มีแนวทางในการสะท้อนผลงานทางศิลปะอย่างไร


ตอบ สะท้อนภาพสังคม


5 . ผลงานของดาวิดชื่อ “คำสาบานของพวกฮอราติไอ” ต้องการสะท้อนแนวคิดอะไรแก่ผู้ชม


ตอบ แนวคิดเกี่ยวกับการรักชาติของนักรบโรมัน 3 คน


6 . ภาพเขียนชื่อ “โรงพยาบาลโรคระบาดที่เจฟฟา” เป็นผลงานของใคร


ตอบ แองเกรอส์


7 . ในขณะที่ศิลปะลัทธินีโอ-คลาสสิก คำนึงถึงความถูต้องตามหลักการและกฎเกณฑ์ทางศิลปะแต่ ลัทธิโรมแมนติกกลับยึดถือและให้ความสำคัญต่อสิ่งใด


ตอบ อารมณ์และจิตใจของศิลปินมากกว่าเหตุผล


8 . ภาพชื่อ “แพเมดูซา” (The Raft of thr “Medusa”)เป็นผลงานของใคร


ตอบ เจอริโคลต์


9 . ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเดอลาครัวเป็นอย่างยิ่งชื่อว่าอะไร


ตอบ เสรีภาพนำหน้าประชาชน


10 . แนวทางการสร้างผลงานในศิลปะลัทธิสัจนิยมเน้นเรื่องใดเป็นสำคัญ


ตอบ ความเป็นจริงของสังคม


11 . ศิลปะลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ปรากฏอย่างเป็นทางการเมื่อใดและส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง


ตอบ ค.ศ. 1874 สร้างความตื่นตระหนก และถูกประณามจากนักวิจารณ์ศิลปะแนวอนุรักษ์อย่าง รุนแรง


12 . ศิลปินที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของกลุ่มอิมเพรสชันนิสม์ คือใคร


ตอบ อีดูวาร์ด มาเนต์


13 . อิมเพรสชันนิสม์เป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะสมัยใหม่ เพราะเปลี่ยนจากเทคนิคสร้างงานด้วยเกลี่ย สีเรียบมาเป็นเทคนิคอย่างไร


ตอบ แบบป้ายสี


14 . ศิลปินลัทธิอิมเพรสชันนิสม์ที่มีความสามารถสูงในการเขียนภาพคนและแง่มุมทัศนียวิทยาของ สถาปัตยกรรมและทิวทัศน์โดยใช้สีได้อย่างสดใส มีบรรยากาศใสสะอาดราวกับสิ่งต่าง ๆ เป็น ของเหลวคือใคร


ตอบ ปีแอร์ ออกุสต์ เรอนัวร์


15 . ศิลปะลัทธิโพสท์ – อิมเพรสชันนิสม์แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่กลุ่มใดบ้าง


ตอบ 1. กลุ่มที่เน้นการแสดงออกทางด้านอารมณ์ และ 2. กลุ่มที่เน้นความเกี่ยวข้องกับโครงสร้าง ทางศิลปะ


16 . ผู้สนับสนุนสิลปินกลุ่มโพสท์- อิมเพรสชันนิสมืคือใคร


ตอบ โรเจอร์ ฟราย กับ คลิฟเบลล์


17 . ความเชื่อในการสร้างสรรค์งานของพอล เซซานน์ (Paul Cezanne,ค.ศ. 1839-1906)เป็นอย่างไร บ้าง


ตอบ การประสานสัมพันธ์ของสีมากเท่าไหร่ ความกลมคลืนกันก็มีมากเท่านั้น สียิ่งสดใสเท่าใด ภาพก็ยิ่งเด่นชัดขึ้น


18 . แวนโก๊ะมีการพัฒนาในการสร้างสรรค์ผลงานทางศิลปะอย่างไร


ตอบ เริ่มใช้แปรงแต้มรอยสีหนาและริ้วรอยแปรง ให้มีการแสดงออกถึงความรุนแรงของอารมณ์


19 . ผลงานที่ได้รับการยกย่องว่าเยี่ยมยอดของแวนโก๊ะมี 3 ภาพ คือ ภาพอะไรบ้าง


ตอบ ภาพคนกินมัน ภาพใบหน้าของศิลปิน และภาพดอกทานตะวัน


20 . เมื่อกล่าวถึงจิตรกรสำคัญคนหนึ่งซึ่งได้รับชื่อว่สสร้างสรรค์ผลงานแบบไม่มีทฤษฎี ไม่มีการ บันทึกถึงความสามารถในด้านบุกเบิกสุนทรีย์ภาพใหม่ ๆ โดยผลงานที่เขาสร้างขึ้นนั้น เปรียบเสมือนการ “บันทึก” สิ่งที่เขาเห็นและเข้าใจโดยปราศจากความคิดเห็น ไม่มีความสงสารไม่มี อารมณ์รู้สึกไม่มีการกล่าวหา และไม่มีการส่อเสียดใด ๆ ข้อความข้างต้นนี้หมายถึงศิลปินคนใด


ตอบ ทูลุส โลเทรค


……………………………

แบบฝึกหัดบทที่ 8


1 . ศิลปะลัทธิโฟวิสม์ มีความเป็นมาอย่างไร


ตอบ มาจากภาษาฝรั่งเศส แปลว่า สัตว์ป่า


2. แนวทางการสร้างสรรค์งายของกลุ่มสะพานสะท้อนเรื่องราวอะไรบ้าง


ตอบ ความสับสน ความอัปลักษณ์ของสังคม เศรษฐกิจ การเมืองและศาสนา


3. แนวทางการสร้างสรรค์งานของกลุ่มคนสีน้ำเงินเป็นอย่างไรบ้าง


ตอบ มีลักษณะผ่อนคลายการกระแทรกความรู้สึกของผู้ชมให้เกิดความรู้น่าขยะแขยง


4. ศิลปินที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้นำลัทธิเอกเพรสชันนิสม์ คือ ใคร


ตอบ เอ็ดวาร์ด มุงค์


5 . ศิลปะลัทธิคิวบิสม์ หรือ Cubism Art มีรากฐานมาจากอะไร


ตอบ ขนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกา


6. ศิลปะลัทธิคิวบิสม์เชื่อในเรื่องใด


ตอบ การแสดงออกทางศิลปะ


7. ภาพ “เกอนีแค” (ค.ศ.1937) เป็นผลงานของศิลปินคนใด


ตอบ ปาโบลคัส ปิคัศโซ


8. ผลงานศิลปะที่ชื่อ “บ้านที่เลาตัค” ในพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเบอร์น เป็นของศิลปินคนใด


ตอบ จอร์จ บาราค


9 . ผู้ที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบิดาของศิลปะนามธรรมคือใคร


ตอบ แคนดินสกี จิตรกรชาวรัสเซีย


10 . จิตรกรลัทธินามะรรมเอ็กเพรสชันนิสม์ ที่มีชื่อเสียงและโดดเด่น ได้รับฉายาว่าเป็นจิตรกรแบบ Action Paintion คือ ใคร


ตอบ แจคสัน พอลลอค


11 . ศิลปะลัทธิดาดามีการพัฒนาการทางความคิดริเรามแรกมาอย่างไร


ตอบ ผลจากความเชื่อ ความคิด สู่การปฏิบัติการ และการเคลื่อนไหว ทำให้ดาดากลายเป็นลัทธิ ศิลปะที่มีความเคลื่อนไหวกว้างขวาง


12 . การสลายตัวของศิลปะลัทธิดาดาเกิดขึ้นได้อย่างไร


ตอบ การเปลี่ยนแปลงสภาวการณ์โลกที่ดีขึ้น และงานศิลปะลัทธิเซอร์- เรียลิสฆ์ กำลังได้รับ ความนิยมใน ค.ศ. 1922


13 . ศิลปะแนวดาดาชื่อ น้ำพุ และภาพโมนาลิซามีหนวดเป็นผลงานของใคร


ตอบ มาร์เซิล ดุชัมป์


14 . ศิลปินลัทธิเซอเรียลิสม์ที่ใช้ “ทฤษฎีอันแบพลันของความเข้าใจอันไร้เหตุผล” อันมีพื้นานมาจากการตีความหมายเกี่ยวกับปรากฎการณ์ของจิตอันแปรปรวนคือใคร


ตอบ ซิกมันด์ ฟรอยด์


15 . ความหมายเชิงปรัชญาของเซอร์ – เรียลิสม์ คือใคร


ตอบ เชื่อในความจริงสูงกว่ารูปแบบความสัมพันธ์ บางอย่างที่ถูกละเลย มาก่อนหน้านี้เชื่อในตัว อำนาจทั้งมวลของความฝัน และการเล่นกับความคิด










…………………………………




แบบฝึกหัดบทที่ 9


1 . ศิลปะป็อบอาร์ตมีลักษณะอย่างไร


ตอบ สะท้อนพลังสภาพแท้จริงของสังคมปัจจุบัน


2 . ศิลปินชาวนิวยอร์คที่นำลักษณะรูปร่างของอาหารซึ่งเป็นที่นิยมในยุคสมัยนี้ เช่น แฮม เบอร์เกอร์ มาขยายขนาด และจำลองด้วยการใช้ผ้ายักนุ่นคล้ายหมอนให้เป็นแฮมเบอร์เกอร์ ยักษ์ เพื่อสร้างความเร้าใจ เร้าความรู้สึกแก่ผู้พบเห็นคือใคร


ตอบ แคลล์


3 . จิตรกรอเมริกันที่กล่าวถึงศิลปะป็อบอาร์ตว่า “ในความคิดของฉัน เป็นศิลปะที่ไร้ ยางอายมากที่สุดแห่งวัฒนธรรมของพวกเรา” คือใคร


ตอบ รอย ลิช แทนสเตน


4 . ศิลปะป็อบอาร์ตมีรูปแบบอย่างไร


ตอบ นามธรรม เน้นขอบที่คมกริบ มีการจัดวางทิศทาง และลีลาของเส้น รูปร่าง


5 . Kinetic Art หมายถึงอะไร


ตอบ ความเคลื่อนไหวในประติมากรรม


6 . ผลงาน ชื่อ “หน้าผาที่ถูกหล่อ” หรือ WRAPPED COAST ในศิลปะแบบ Conceptual Art สร้างสรรค์โดยศิลปินชื่ออะไร


ตอบ คริสโต


7 . สร้างสรรค์ทางศิลปะ ชื่อ “เขื่อนขดก้นหอย” เป็นผลงานของใคร


ตอบ Spiral Jetty











…………………………………….



แบบฝึกหัดบทที่ 10


1 . พระสันตะปาปาทรงนำดินแดนอิตาลีส่วนใหญ่เข้าไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธ์ในสมัยใด


ตอบ จักรพรรดิชาร์ลมอญ ของพวกแฟรงก์


2 . Papal State เกิดขึ้นเมื่อใด


ตอบ ปลายศตรรษ ที่ 15


3 . ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างชาติอิตาลี ในตอนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือใคร


ตอบ พระเจ้าวิกเตอร์เอมมานุเอลที่2


4 . ในอดีตสนามกีฬา Colosseum (กรุงโรม) จุผู้ชมได้กี่คน


ตอบ 67,000 – 80,000 คน


5 . จุดกำเนิดของเสียงเพลง “ทรี คอยนื ออฟ เดอะ ฟาวด์แท่น” ที่กรุงโรมคืออะไร


ตอบ น้ำพุเทรวี


6 . มหาวิหารเซนปีเตอร์เป็นสิ่งก่อสร้างที่ใหญ่และสำคัญมราสุดในนครรัฐติวากันเนื่องจากอะไร


ตอบ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ที่สุดที่หนึ่ง


7 . นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียน ซึ่งทดลองเรื่องความเร็วของวัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง ณ หอ เอนปิซา คือ ใคร


ตอบ กาลิเลโอ


8 . ชาวฝรั่งเศสมักเรียกแผ่นดินใหญ่ว่า หกเหลี่ยม (L’Hexagone) เนื่องจากอะไร


ตอบ เนื่องจากรูปทรงทางกายภาพของประเทศ


9 . หอไอเฟล (Tour Eiffel) ตั้งอยู่ที่ใด


ตอบ กรุงปารีส


10 . พระราชวังแวร์ชายลส์ ตั้งอยู่ในกรุงปารีสเป็นพระราชวังที่สวยงามน่ามหัศจรรย์ยิ่งแห่งหนึ่งของโลกสร้างโดยใคร


ตอบ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14


11 . ภาพเขียนโมนาลิซาของดาวินชี ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่ใด


ตอบ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์






12 . สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมอย่างสูงตั้งแต่ปี 1863เมื่อใครจัดทัวร์ครั้งแรกจากอังกฤษไปยังสวิตเซอร์แลนด์


ตอบ โทมัสคุ๊ก


13 . พวกที่ย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่อาศัยในเขตทางตอนเหนือของเทือกเขาแอลป์ ในสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 10,000 ปีก่อนคริสตศักราชคือคนกลุ่มใด


ตอบ กลุ่มนักล่าสัตว์ และคนเร่ร่อน


14 . ในยุคจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธ์ (Holy Roman Empire) สนธิสัญญา Verdun ในปี ค.ศ. 834ทำให้พื้นที่บริเวณตะวันตกของสวิตเซอร์แลนด์ (Burgundain) ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์Lothair ที่1 ส่วนทางด้านตะวันออก (Alamnanic) อยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริญืองค์ใด


ตอบ Louis German


15 . ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้วางตัวเป็นกลางทางการทหารบทบาทสำคัญเพียงอย่างเดียวของงประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในสงครามโลกครั้งที่ 1 อะไร


ตอบ การส่งสภากาชาดมาช่วยเหลือ


16 . ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เข้าร่วมเป็นประเทศในสนธิสัญญาเซ็งเก็น (Schengen Agreement) ซึ่งกำหนดใจความสำคัญไว้อย่างไร


ตอบ นักท่องเที่ยวที่มีใบอนุญาตเซ็งเก็น แบบมัลติเพิดของประเทศ ประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถเข้าออกประเทศอื่นได้


17 . อาหารขึ้นชื่อของซูริค คือ อะไร


ตอบ เกชเนตเซลเตส และ ราทส์ฮาเฮเรนโตฟ


18 . ปราสาทที่ปรากฏอยู่ในการ์ตูนของวอลท์ ดิสนีย์ นำรูปแบบมาจากปราสาทอะไรในประเทศเยอรมนี


ตอบ ปราสาทนอยส์ชวาสไตน์


19 . เมืองต้นกำเนิดของชีสยี่ห้อเอ็มเมนทัล (Emmental) และช็อกโกแลตทรงสามเหลี่ยมท็อปเบิลโรน (Toblerone) คือเมืองอะไร


ตอบ เมืองเบิร์น


20 . สัญลักษณ์ของเมืองเบิร์นคืออะไร


ตอบ รูปหมี






21 . อนุสาวรีย์สิงโต (Lion Monument) มีความสำคัญอย่างไร


ตอบ เป็นอนุสาวนีย์แห่งความกล้าหาญ


22 . เมืองศูนย์กลางการจัดนิทรรศการ หลักอีกเมืองหนึ่งของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ คือเมืองอะไร


ตอบ เมืองเบิร์น


23 . พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการยกย่องด้านความสวยงามเป็นอันดับสองของโลก และถือได้ว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมาดริด รวมทั้งเป็นแหล่งสะสมภาพเขียนล้ำค่าแห่งหนึ่งของโลก คือ พิพิธภัณฑ์อะไร


ตอบ พิพิธภัณฑ์ปราโด


24 . ปลาซ่า มายอร์ มีความสำคัญอย่างไร


ตอบ เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนา เช่น พิธีราชภิเษก


25 . ผลงานส่วนใหญ่ของศิลปินเอกของโลก “ปิกัสโซ” ที่พิพิธภัณฑ์ปิกัสโซ ในเมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน อุทิศให้แก่ใคร


ตอบ ซาบาร์เตส


26 . เทศกาลวิ่งวัวกระทิงของเมืองแปมโปรนาในสเปนจัดขึ้นในวัน Siant Fermin’Day กรกฎาคมของทุกปี นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลมาเพื่ออะไร


ตอบ เพื่อชมการแสดงโชว์ที่หวาดเสียดของวัวกระทิง


27 . ข้าวหมกสเปน มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด


ตอบ เมืองบาเลนเซีย ตะวันออกของสเปน


28 . Sangria เครื่องดื่มยอดนิยมของชาวสเปน มีส่วนผสมของอะไร


ตอบ ไวน์แดง บรั่นดี น้ำอัดลม และผลไม้


29 . ชาวโครแอทอพยพมาจากทางเหนือของยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 และอยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรอะไรจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 9


ตอบ อาณาจักรไบแซนไทน์


30 . หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการตั้งสหพันธ์สาธารรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียในปี 2488 ภายใต้การนำของจอมพลติโต (MarsthallJosip Broz Tito) โดยประกอบด้วยสาธารณรัฐลัมณฑลอะไรบ้าง


ตอบ เซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย บอลาเนียและเฮอร์เซโกวินา มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย และมณฑลโคโซโลและวอยโวลินา






31 . ประเทศไทยให้การรับรองเอกราชของประเทศโครเอเชียเมื่อใด


ตอบ วันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 992


32 . ปัจจุบันมหาวิหารเซนต์ สตีเฟน ที่เมืองซาเกรบมีลักษณะทางศิลปะแบบใด


ตอบ แบบนีโอ กอธิค


33 . มหาวิหารเซนต์เจมส์ ที่เมืองไซเบนิค ซึ่งสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1431-1535 เป็นสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างศิลปะอะไรบ้าง


ตอบ ศิลปะทางเหนือของอิตารี และศิลปะทัศคานี


34 . ได้รับฉายา “แคลิฟอเนียร์แห่งโครเอเชีย” คือเมืองอะไร


ตอบ เมืองTrogir


35 . ชื่อเดิมของประเทศตุรกีคืออะไร


ตอบ จักรดิออตโตมัน


36 . House of Vergin Mary บ้านของพระแม่มารี มีความสำคัญอย่างไร


ตอบ เป็นที่สุดท้ายที่แม่พระมารีมาอาศัยและสิ้นพระชนม์ในบ้านหลังนี้


37 . เมืองเอฟฟิซุส มีความสำคัญอย่างไรต่อจักรวรรดิโรมัน


ตอบ เป็นเมืองหลวงต่างจังหวัดของโรมัน


38 . พระราชวังโดลมาบาชเช่ สร้างโดยใคร


ตอบ สุลต่านอับดุล เมอซิท


39 . เหตุใดนาฬิกาทุกเรือนของพระราชวังโดลมาบาชเช่จึงชี้เวลา 09.05 น. เป็นนิจนิรันดร์


ตอบ เพื่อระลึกถึงเวลาของการจากไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ค.ศ. 1938 ของคามาล อาตาเติร์ก


40 . อาหารประจำชาติตุรกี คืออะไร


ตอบ กะบับ






………………………………

ศิลปะวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่ Post Modern

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์



Musée du Louvre










ที่ตั้ง ปารีส แคว้นอีล-เดอ-ฟรองซ์


ประเทศ

ประเทศฝรั่งเศส


การก่อสร้าง :ปีสร้าง ค.ศ. 1793

ผู้สร้าง : พระเจ้าฟิลิปป์ที่ 2 (พระราชวัง)

* พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 5 (กำแพง)

* พระเจ้าอองรีที่ 2 (ฝั่งตะวันตกและใต้)

ขนาด 160,106 ตารางเมตร

ผู้ออกแบบ/ตกแต่ง :สถาปนิก * ปีแอร์ เลส์โกต์ (ปรับปรุง)

* ไอ.เอ็ม. เป (พีระมิด)

ผู้ตกแต่งภายใน :* ฌอง กูฌง

สวน สวนตุยเลอรีส์

ข้อมูลด้านการท่องเที่ยว

สิ่งที่น่าสนใจ * พิพิธภัณฑ์ที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก

* มีผลงานกว่า 380,000 ชิ้น

แต่เดิมเป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมากที่สุดของโลก สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าฟิลิปป์ ออกุสต์ ในปี ค.ศ 1204 แต่มาเสร็จในสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 ปี ค.ศ 1856 รวมใช้เวลาก่อสร้างถึง 7 รัชกาล เริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ ตั้งแต่ ค.ศ 1791 ปัจจุบันพระราชวังเก่าแก่แห่งนี้ มีสภาพเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญและใหญ่โตที่สุดในปารีส ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาวัตถุโบราณต่างๆที่มีค่าและมีชื่อเสียงของโลก เช่น ภาพเขียน La Jaconde หรือภาพโมนาลิซ่า อันเป็นภาพวาดของ Léonard de Vinci จิตกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน

พิพิธภัณฑ์นี้เป็นตึก 3 ชั้น ประกอบด้วยห้องถึง 225 ห้อง มีลวดลายสวยงาม เป็นอย่างยิ่ง ทางตะวันตกของพิพิธภัณฑ์ติดกับแม่น้ำแซน ภายในมีวัตถุโบราณซึ่งเป็นศิลปะอันล้ำค่าจากชาติต่างๆที่ฝรั่งเศสเคยมีอิทธิพลปกครองมาในอดีต ส่วนใหญ่ได้มาจากตะวันออกกลางและอาณานิคมจากประเทศในเอเซีย เช่น รูป La Victoire de Samothrace, Vénus de Milo

พิพิธภัณฑ์นี้ เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันอังคารและวันหยุดของทางราชการ วันพุธและวันอาทิตย์เปิดให้เข้าชมฟรี



ในปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléon

เพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อันเป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี





ในปี 1981 Monsieur Ioeh Ming Pei สถาปนิกชาวอเมริกัน ได้เริ่มโครงการสร้างทางเข้าพิพิธภัณฑ์เป็นรูปปิรามิดแผ่นแก้ว ครอบคลุมเนื้อที่บนลาน Napoléon เพื่อเป็นจุดรวมของทางเข้าพิพิธภัณฑ์อันเป็นศูนย์กลางที่ให้ข้อมูลในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยว ใช้เป็นสถานที่นัดพบ ประชาสัมพันธ์ จุดเริ่มต้นของการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ โดยมีที่สำหรับนั่งพักผ่อน แผนกรับฝากของ ที่ทำการไปรษณีย์ ที่รับแลกเปลี่ยนเงิน สำนักงานท่องเที่ยว แผนกต้อนรับ ห้องประชุม เอนกประสงค์ขนาด 430 ที่นั่ง ห้องสมุด ร้านค้า ภัตตาคาร รวมถึงแผนกบริหารงานบุคคล ห้องเก็บของ ห้องสำหรับงานบูรณะปฏิสังขรณ์ ห้องปฎิบัติการทดลองด้วย การก่อสร้างทุกอย่างเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในปี 1995 รวมเวลา 14 ปี



พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ : พีระมิดแก้ว

พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ด้วยการนำชมพีรามิดแก้ว ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์สมัยใหม่ของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ พีรามิดแก้วนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1989 ซึ่งสร้างขึ้นมาภายหลังพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ถึงเกือบ 200 ปี จุดประสงค์ก็เพื่อให้เป็นทางเข้าใหม่ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนขยายของแกลเลอรี่และคอมเพล็กซ์ใต้ลานของพิพิธภัณฑ์

นอกเหนือจากพีรามิดหลักที่เป็นทางเข้า ก็ยังมีพีรามิดขนาดเล็กอีก 3 หลังอยู่รายรอบ และนอกเหนือจากความสวยงามแล้ว พีรามิดเหล่านี้ยังทำหน้าที่รับแสงสว่างจากธรรมชาติให้ส่องทะลุลงไปยังคอมเพล็กซ์ด้านล่างได้

สถาปนิกผู้ออกแบบก่อสร้างพีรามิดแก้วแห่งลูฟร์นี้ เป็นคนอเมริกันเชื่อสายจีน มีชื่อว่า I.M.Pei (Ieoh Ming Pei) เกิดเมื่อปี ค.ศ. 1917 ที่เมือง Canton ประเทศจีน ปัจจุบันท่านอายุ 91 ปี เมื่อยังเล็กท่านได้ศึกษาเล่าเรียนที่ประเทศจีน จนอายุได้ประมาณ 18 ปี ก็ได้มาศึกษาเล่าเรียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมที่ MIT และ Harvard ประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านได้ผ่านการทำงานมาหลายแห่ง จนกระทั่งได้มาเปิดสำนักงานของตนเองที่กรุงนิวยอร์คจนถึงทุกวันนี้

เมื่อปี ค.ศ.1983 ท่านเคยได้รับรางวัล Pritzker Architecture Prize (รางวัลสำหรับผู้ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงทางด้านสถาปัตยกรรม) ซึ่งรางวัลนี้เปรียบเสมือนเป็นรางวัล Nobel ของวงการสถาปัตยกรรม



 พีรามิดแก้ว มองผ่าน Carrousel จะเห็นทางเข้าสู่พิพิธภัณฑ์






 มีพีรามิดเล็กๆอยู่รายรอบ คนชอบมานั่งเล่นกันแถวๆนี้ หน้าร้อนจะน่านั่งมากเพราะมีน้ำพุ









พีรามิดแก้วอีกมุมหนึ่ง







 คู่บ่าวสาว มักจะมาถ่ายรูปกันที่บริเวณนี้ ช่างภาพหน้าเหมือนดาราไทยคนนึงเลยค่ะ











เหตุผลที่เลือก

เพราะพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ Musée du Louvre มีความสวยงามมาก และเป็นสถานที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ใคร ๆ ก็ใฝ่ฝันอยากจะไปชมความงามของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ในพิพิธภัณฑ์มีภาพแสดงมากมาย เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าศึกษาค้นคว้า เป็นสถานที่เก็บรักษางานศิลปะอันล้ำค่า ทั้งผลงานยุคโบราณและการสร้างสรรค์ของศิลปินร่วมสมัย ไม่เวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด ที่นี่ก็ยังเป็นจุดหมายของผู้ชื่นชมศิลปะทั่วโลก เป็นคลังแห่งงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งมีผังอาคารคล้ายตัวอักษรเอขนาดใหญ่อยู่ใจกลางกรุงปารีส คือพิพิธภัณฑสถานลูฟร์ สถานที่ซึ่งยอมรับกันว่าเป็นแหล่งดูแลรักษางานศิลป์ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชื่นชม และมีผลงานโดดเด่นมากมาย ที่เห็นได้ชัดคือการรวบรวมผลงานชั้นครู ทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และศิลปวัตถุอื่นๆที่มนุษย์ตั้งแต่งยุคประวัติศาสตร์ได้สร้างสรรค์ขึ้น รวมทั้งซ่อมแซมแก้ไขให้อยู่ในสภาพดี

นอกจากนี้ ลูฟร์ยังเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกที่ให้ทุนสนับสนุนเพื่อการขุดค้นทางโบราณคดี ตีพิมพ์ผลงานวิจัยต่างๆ ตลอดจนเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า มีนักวิชาการมากมายผ่านการอบรมจากสถาบันเอกอลดูลูฟร์อันโด่งดัง

พิพิธภัณฑสถานซึ่งใช้เงินภาษีอากรของประเทศในการบริหารและถือได้ว่าเป็นสมบัติของประชาชนแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนทั่วไปเข้าชม และถือว่ามีความสำคัญที่สุดในบรรดาพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดของฝรั่งเศสซึ่งมีมากกว่า 600 แห่ง และจำนวนผู้เข้าชมลูฟร์ในแต่ละปีก็สูงเกินกว่าพิพิธภัณฑ์อื่นใดในฝรั่งเศสจะเทียบเคียงได้

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดก็คือการที่ลูฟร์ขยายพื้นที่จัดแสดงเพิ่มขึ้นสองเท่าได้โดยไม่ต้องสร้างอาคารใหม่ เพราะถึงแม้ผลงานศิลปะที่จัดแสดงจะมีปริมาณมหาศาล แต่พระราชวังแห่งนี้ยังมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่าหลายเท่านัก

ลูฟร์เป็นหนึ่งในพระราชวังทีใหญ่ที่สุดในโลก โดยปีกด้านหนึ่งเป็นแนวยาว 1.6 กิโลเมตรขนานกับแม่น้ำแซน ซึ่งจะยาวกว่าความยาวของหอไอเฟลพร้อมเสาอากาสทั้งหมดวางเรียงต่อกันสองหอ อาณาบริเวณทั้งหมดของพิพิธภัณฑ์รวมทั้งสวนต่างๆ คิดเป็นพื้นที่กว่า 160,000 ตารางเมตร และหากเดินให้ทั่วทุกห้องจะคิดเป็นระยะทาง 12.87 กิโลเมตร

ด้านหน้าอาคารของลูฟร์ที่ดูเหมือนจะทอดยาวไม่สิ้นสุดนั้นตกแต่งด้วยเสาโรมันฉลุร่อง รูปปั้นของวีรบุรุษและสตรีที่เป็นตัวแทนแห่งความสามารถและความดีงาม รวมไปถึงปลองไฟลายวิจิตร และน้ำพุตระการตา ซึ่งเป็นที่พักพิงของพิราบฝูงใหญ่ที่โบกปีกกระพือไปกับปีกของดรุณเทพและผลไม้สลักประดับกรอบอาคารทางเข้าของนักท่องเที่ยวนั้นอยู่ในบริเวณปาวิยงเดอนง โดยหันหน้าเข้าหาอนุสาวรีย์มาร์ควิส เดอ ลาฟาแยต (ปัจจุบันอนุสาวรีย์นี้ถูกย้ายออกไปแล้ว โดยมาการสร้างพีระมิดกระจกขึ้นแทนที่) นายทหารและรัฐบุรุษของฝรั่งเศส ซึ่งนักเรียนอเมริกันมอบให้ฝรั่งเศสเป็นของขวัญ บนลานหน้าทางเข้าหลักมีพ่อค้าเร่ขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว โดยมีโปสการ์ดและไอศกรีมเป็นสินค้าขายดีอันดับต้นๆ นอกจากนี้ยังมีศิลปินที่ใช้สีชอล์กสดใสจำลองภาพเขียนดังๆไว้บนทางเท้า และนักดนตรีเปิดหมวกที่เล่นกีตาร์ร้องเพลงแลกเงิน

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นมรดกที่ล้ำค่ามากสำหรับประเทศฝรั่งเศส ใครได้เข้าไปชมความที่แห่งนี้ก็ต้องประทับใจกับความงามของที่นี้ ตัวอาคารมีความงดงามมาก ช่วงเวลากลางคืนจะมีแสงใจที่ตัวอาคารมองแล้วสวยมาเลยที่เดียว ทำให้ทุกคนใฝ่ฝันจะไปชมสถานที่แห่งนี้ รวมถึงตัวดิฉันด้วยที่อยากไปชมความงามของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ แต่คงเป็นไปได้อยากมาก งั้นขอฝากอาจารย์พิทยะด้วยนะค่ะ ถ้าอาจารย์มีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ฝากเที่ยวเผื่อหนูด้วยนะค่ะ ถ่ายรูปมาให้ชมความงามหน่อยนะค่ะ

ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ ขอบคุณค่ะ

 




วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย

                   395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย



               395 Years Pinto’s Pérégrinação : an Account of Historiography or Adventurous Novel

พิทยะ ศรีวัฒนสาร

      บันทึกความทรงจำของแฟร์เนา เมนเดซ ปินโต( Fernão Mendez Pinto ค.ศ.1509-1583) เรื่อง “Pérégrinação”ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปีค.ศ.1614 เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และเหตุการณ์บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งอัตชีวประวัติของเขาอย่างน่าตื่นเต้นและเหลือเชื่อ จนมีการใช้ชื่อของปินโตเล่นคำเชิงล้อเลียนว่าพูดจริงหรือเท็จอย่างสนุกสนานโดยชนชาติศัตรูของโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน บันทึกของปินโตถูกอ้างอิงจากนักประวัติศาสตร์ไทยอย่างกว้างขวางนับตั้งแต่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพมาจนปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงบทบาทของทหารรักษาพระองค์ชาวโปรตุเกส และการพระราชทานที่ดินให้พวกเขาตั้งถิ่นฐานและปฏิบัติศาสนพิธีในสมัยอยุธยา จึงเป็นที่มาของการตรวจสอบว่าหนังสือฉบับนี้มีสถานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือเป็นเพียงนิยายผจญภัย
 
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho) ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre) ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่างค.ศ. 1509-1512 เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ. 1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา (Cue de Pedra) การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว (Diu) ในอินเดียในค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1558 รวมเป็นเวลา 21 ปีของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน

ปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา (missionary) เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปีค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ (Pragal) ใกล้เมืองอัลมาดา (Almada) ทางใต้ของโปรตุเกส ปินโตเขียนหนังสือชื่อ “Pérégrinação”ขึ้น และถูกตีพิมพ์หลังจากเขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1583

ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531 : 115) ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค.ศ.1548 ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1534-1546) นักประวัติศาสตร์บางคนนำหลักฐานของฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือในเอกสารของเขาหลายประเด็น และชี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อนของศักราชที่เขาอ้างถึง

หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1 (Philip I of Portugal,1581-1598 และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน - Philip II of Spain,1556-1598) ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา

งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628) ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ “การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ1537-1558” แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ “Thailand and Portugal : 470 Years of Friendship”

ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลกให้มากยิ่งขึ้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย เขาระบุว่าอุทิศการทำงานให้แก่พระเจ้ามิได้หวังชื่อเสียง สิ่งที่ผลักดันให้เขาเดินทางไปยังตะวันออก คือ ธรรมชาติของลูกผู้ชาย เขาแสดงความขอบคุณพระเจ้าและสวรรค์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายมาได้(Henry Cogan, 1653 :1-2) ส่วนเฮนรี โคแกนระบุว่า จุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ“Pérégrinação” จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจและกระตุ้นให้มีการสำรวจและค้นคว้าทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นบทเรียนให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรืออับปาง เพื่อทัศนศึกษาดินแดนต่างๆในโลกกว้างและเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของ“คนป่าเถื่อน”(Henry Cogan, 1653 : A-B)

จุดมุ่งหมายที่จริงจังของทั้งปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณ์ สถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฏในหนังสือ “Pérégrinação” อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยๆฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสในปีค.ศ.1628 ก็ถูกอ้างอิงโดยซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de Laloubère) ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อกล่าวถึงจำนวนเรือที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาก่อนหน้าการเข้ามาของตน (จดหมายเหตุลาลูแบร์ฉบับสมบูรณ์ เล่ม 1,2510 : 502)
 
 
 
บทวิจารณ์
โดย นางสาวจีรวรรณ นาคขำ
 
 
 
ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า บทความเรื่องปิ่นโต นี้ น่าจะเป็นเรื่องจริง คนคนหนึ่งมีความอดทนต่อความยากลำบากเป็นสิ่งที่ดีมาก
 
    
ปินโตระบุว่า การเล่าเรื่องการเดินทางของเขามีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มีการเรียนรู้สภาพภูมิศาสตร์ของโลกให้มากยิ่งขึ้น มิได้มีจุดประสงค์ที่จะก่อให้เกิดความท้อถอยในการติดต่อกับดินแดนแถบเอเชีย เขาระบุว่าอุทิศการทำงานให้แก่พระเจ้ามิได้หวังชื่อเสียง สิ่งที่ผลักดันให้เขาเดินทางไปยังตะวันออก คือ ธรรมชาติของลูกผู้ชาย เขาแสดงความขอบคุณพระเจ้าและสวรรค์ที่ช่วยให้รอดพ้นจากภยันตรายมาได้(Henry Cogan, 1653 :1-2) ส่วนเฮนรี โคแกนระบุว่า จุดมุ่งหมายในการแปลหนังสือ“Pérégrinação” จากภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาอังกฤษ คือ ต้องการให้ผู้อ่านทั่วไปเกิดความพึงพอใจและกระตุ้นให้มีการสำรวจและค้นคว้าทางภูมิศาสตร์ เพื่อเป็นบทเรียนให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาเรืออับปาง เพื่อทัศนศึกษาดินแดนต่างๆในโลกกว้างและเพื่อเรียนรู้เรื่องราวของ“คนป่าเถื่อน”(Henry Cogan, 1653 : A-B)


จุดมุ่งหมายที่จริงจังของทั้งปินโตและโคแกนสะท้อนให้เห็นคุณค่าของเหตุการณ์ สถานที่ ทรัพยากร อารมณ์ ความรู้สึกและวัฒนธรรมอันหลากหลายของผู้คนที่ปรากฏในหนังสือ “Pérégrinação” อย่างไม่อาจมองข้ามได้ งานของปินโตจึงได้รับการอ้างอิงอย่างกว้างขวาง อย่างน้อยๆฉบับแปลภาษาฝรั่งเศสในปีค.ศ.1628 ก็ถูกอ้างอิงโดยซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de Laloubère) ซึ่งเดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เมื่อกล่าวถึงจำนวนเรือที่เข้ามาค้าขายในกรุงศรีอยุธยาก่อนหน้าการเข้ามาของตน
 
บันทึกของปิ่นโต ที่แสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นความจริงก็คือบทความจากข้างบน เขาต้องการที่จะสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น เป็นบทความที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก น่าศึกษา ค้นคว้า เพื่ออาจจะเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เพราะเขาต้องทนกับอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่พวกเราบางคนไม่ต้องลำบากกัน แต่ก็ยังใช้ชีวิตไม่เป็นกัน ท้อกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วถ้าเราต้องเจอปัญหาเหมือนกับปิ่นโตเราจะเป็นยังไง